Kna

Karma = กรรม

กรรม means action (การกระทำ)

you reap what you saw and that's the rules, for example.... If you eat a meal the only one who will get full are you.

but if we eat together then we'll get full together, right?

now replace 'eat meal' with 'making karma'......

that'll explain why ppl feel the same thing (get the same karma) in Plus's post.

The same rule apply to the reason why some birth within rich/poor family. It's because you did some karma together in your past life be it good or bad.

We all re-incarnated again and again because of our karma, our own desire has no says in it's matter. We born again beause someone owe us something or we owe something to someone. for example, Have you seen a son who's born in the rich family and destroy all the family's fortune in his generation? Have you seen a son who's born in the poor family who made a lot of fortune in his generation? a son who's always made their parent grieve with his every action? a son who take care of his old parent untill they passed away? It's all about karma.

Now let's see how karma works....

It's all about our intention. let me give you and example.

the 1st sila is 'ปาณาติปาตา เวรมณี ' (refrain from killing or take someone live)

for someone who want to make bad karma form killing something there must do all of this....

1. you want to kill it. มีเจตนาฆ่า

2. it lives. สัตว์ที่จะฆ่ามีชีวิต

3. you know it lives. รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต

4. you take action to take it's life. พยายามทำการนั้น

5. it's dead because of that action. สัตว์นั้นตายด้วยความพยายามนั้น

To make a bad karma you need to have an intention to kill it. if you have no intention to kill it then it's not bad karma.

And remember the goal of Buddha's teaching is to stop the suffering in life and remove oneself from the karma's circle. not to make merit and rebirth again and again into the better life!!!

Any now you ask "If making merit won't let you reach nippana why make merit then?"

Well, from the Buddha's teaching only human can reach Nippana and the karma you did in this life will decide what you will reborn in the next life. so it's important to make a good karma to ensure you'll be reborn into human again to reach your goal in the next life.

and since merit is part of karma to so it's depend on your intention. if you make merit with selfish intention then the merit you got is very litle because it's not made by a good intention to do good.

Have you ever heard of the story of Wat Kanikapol (วัดคณิกาผล)

here's the story (in Thai)

ในสมัยเมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงได้ครองแผ่นดินสยามอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า

ยายคุณท้าวแฟง หรือบางครั้งก็เรียกว่า ยายแฟง เฉย ๆ ยายคุณท้าวแฟงนี้มีอาชีพเก็บตลาดเอาผลกำไร

รวมทั้งเป็นแม่เล้าเจ้าของซ่องนางโลมด้วย

ยายแฟงนั้นแกรู้ว่า ในหลวงทรงโปรดการทำบุญสร้างวัดแกจึงได้ทำการสร้างวัดด้วยเงินรายได้ของแกขึ้นมา

เพื่อต้องการให้สดุดสายพระเนตรของพระเจ้าแผ่นดินกับเขาด้วยเหมือนกัน ที่ตรอกแฟง

ในแหล่งธุรกิจของพระนครสมัยนั้น พวกชาวบ้านจึงเรียกกันว่า " วัดใหม่ยายแฟง " เมื่อสร้างเสร็จแล้ว

แกก็ได้ทูลขอพระราชทานนามของวัดนั้น ทรงโปรดพระราชทานนามของวัดนั้นว่า

" วัดคณิกาผล " อันแปลตรงตัวได้ว่า วัดที่เป็นผลได้มาจากหญิงโลมเมือง

เพราะรายได้หลักของยายแฟงนั้นก็คือได้จากการเป็นแม่เล้า เจ้าโสเภณี

ในการสมโภชน์วัด ยายแฟงได้ไปนิมนต์สมเด็จพุฒาจารย์ ( โต พฺรหฺมรังสี )

ซึ่งสมัยนั้นสมเด็จฯ ท่านยังไม่มีสมณศักดิ์ คงเป็นเพียงแค่มหาโต พระมหาบาเรียนธรรมดาเท่านั้นให้มาเทศน์ฉลอง

โดยมีความปรารถนาจะให้ท่านได้สรรเสริญผลบุญของตนต่อหน้าชุมชน แต่ผลก็ไม่ได้เป็นดังใจของยายแฟง

เพราะพระมหาโต ท่านกลับเทศน์บอกแก่เจ้าภาพว่า ในการที่เจ้าภาพได้จัดการทำบุญเช่นนี้นั้น

เป็นการทำบุญที่มีเบื้องหลังอยู่หลายประการ เป็นเหตุให้เหมือนกับว่า ในเงินทำบุญ ๑ บาทนั้น

ยายแฟงจะได้อานิสงส์เพียงแค่สลึงเฟื้องเท่านั้น โดยพระมหาโตท่านได้ยกนิทาน เรื่องตากะยายฝังเงินเฟื้อง

ไว้ที่ศิลาหน้าบันไดขึ้นมาประกอบคำเทศน์ของท่านด้วย ท่านได้เทศน์ว่า เพราะด้วยผลบุญที่ทำนั้นมีสาเหตุมูลฐาน

ในการประกอบการบุญนั้นไว้ผิด แม้ว่าเรื่องที่เจ้าภาพได้สร้างวัดนี้ไว้นั้นจะเป็นการดี

แต่ก็เพราะการตั้งฐานในการทำบุญครั้งนี้ไม่ถูกบุญใหญ่ จึงทำให้ผลแห่งการทำบุญนั้นใหญ่โตเหมือนดังที่หวังไว้ไปไม่ได้

คงจะได้บ้างก็แค่เพียงของเศษบุญ หรือจาก ๑ บาทก็ได้เพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น

เมื่อยายคุณท้าวแฟงได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกขัดเคืองใจเป็นกำลัง มีอาการโกรธหน้าแดง

จนแทบจะระเบิดวาจาออกมาต่อว่า บริภาษมหาโตอย่างรุนแรง แต่ก็ยังเกรงเป็นการหมิ่นประมาท

แกจึงได้เพียงแต่ประเคนกัณฑ์เทศน์ด้วยอาการไม่พอใจ กระแทก ๆ ดังปึงปังใหญ่

แล้วหลังจากนั้นแกก็จึงได้ไปนิมนต์เสด็จทูลกระหม่อมพระ ซึ่งก็คือ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ

ในสมัยเมื่อครั้งที่พระองค์ยังได้ทรงผนวชอยู่ เพื่อจะได้ให้ทรงเสด็จมาประทานธรรมต่อให้อีกสักกกัณฑ์หนึ่ง

โดยหวังว่า แกคงจะได้รับคำชมจากพระองค์ท่าน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการแก้ลำพระมหาโตไปในคราวเดียวกัน

ทูลกระหม่อมฯ ทรงรับนิมนต์ของยายแฟงแล้ว ได้ทรงประทานธรรม ในเรื่องจิตของบุคคลที่ประกอบการกุศลว่า

ถ้าทำด้วยจิตที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวก็จะได้อานิสงส์มาก แต่ถ้าบุคคลใดทำงานการบุญด้วยจิตที่ขุ่นมัว

ก็ย่อมจะทำให้เกิดได้ผลน้อย และสำหรับในเรื่องของการสร้างวัดนี้ ก็ดูเหมือนจะเนื่องด้วยเรื่องของจิตที่ขุ่นมัวทั้งนั้น

ดังนั้นอานิสงส์ผลบุญจึงมีเพียงเท่านั้น ตามที่ท่านมหาโต ท่านยกเรื่องตากะยาย

ไปอ้อนวอนเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่มาประกอบนั้น เป็นเรื่องที่มีปรากฏในฎีกาพระอภิธรรมอยู่

เป็นฉากตัวอย่างที่ช่วยให้ท่านทำการตัดสินบุญของผู้สร้างวัดนี้ว่า ผลแห่งบุญนั้นจะอำนวยให้เกิดได้ไม่เต็มเม็ด เต็มหน่วย

คงได้แค่เพียง ๓ ใน ๘ ส่วน เหมือนกับเงิน ๑ บาท โค้งเว้าหายไปเสีย ๕ เฟื้อง คงได้เพียง ๓ เฟื้อง

คือ เหลือเพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น การที่ท่านตัดสินอย่างนี้ก็นับว่ายังดีนักเทียว

ถ้าเป็นความเห็นของเรา (สมเด็จพระจอมเกล้าฯ) คงจะตัดสินให้ได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น

คือตัดสินตามเหตุที่ได้เห็น เพราะในการสร้างบุญนั้น วัดกันด้วยระดับของจิตใจ ผลที่เธอควรได้รับจึงควรมีเพียงเท่านี้

แล้วทูลกระหม่อมฯ ก็ลง เอวัง ไว้เท่านั้น

เทศน์ ๒ กัณฑ์ของ ๒ ท่านนี้ นับเป็นเรื่องน่าคิด และในเรื่องนี้ผู้อ่านก็ควรจะคิดวินิจฉัยเองด้วยเหมือนกัน

ผู้เรียบเรียงคิดว่า ท่านทั้งสองต้องการให้ยายแฟงรู้จักการทำบุญด้วยการพิจารณาลงไปถึงมูลเหตุต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ

และให้รู้จักคำนึงถึงที่มาของสิ่งที่ได้มาใช้ในการทำบุญด้วยว่า เป็นมูลฐานสำคัญของบุญ

สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านคงทรงพระประสงค์ที่จะตอกย้ำความรู้สึกของยายคุณท้าวแฟง

ให้รู้ตระหนักลงไปถึงในเรื่องกุศลจิต และอกุศลจิต มีอำนาจความสำคัญแตกต่างกันอย่างไร

ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องการสร้างวัดของยายแฟงนี้คงจะแสดงให้พวกเราได้เห็นอะไรๆ

เกี่ยวกับการทำบุญกุศลได้ชัดขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย

อนึ่ง ในเรื่องนี้มีอยู่ตอนหนึ่งที่ทูลกระหม่อมพระ ท่านได้ตรัสว่า คุณท้าวแฟงควรจะได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น

ท่านผู้อ่านที่มีอายุน้อยนั้นอาจจะไม่ทราบมาตราเงินไทยในสมัยเก่า ดังนั้นจึงจะขอเรียนให้ทราบว่า ๔ ไพนั้น

มีค่าเท่ากับ ๑ เฟื้อง และ ๒ เฟื้องเป็น ๑ สลึง ดังนั้น หนึ่งไพจึงมีค่าเพียงราว ๑ สตางค์เท่านั้น

ระองค์ทรงบอกว่าที่ทำบุญบาทหนึ่งนั้นได้ผลบุญจริงๆ เพียงแค่ ๖ สตางค์

น้อยกว่าที่มหาโตท่านได้ตัดสินไว้เสียอีก คือ ใน ๑๐๐ ส่วน เหลืออยู่เพียง ๖ ส่วน เท่านั้นนั่นเอง

และอีกประการหนึ่ง ควรทำความเข้าใจไว้ให้ชัดว่า คำว่า "จิดขุ่นมัว" ที่มีใช้อยู่ในเรื่องนี้นั้น

ไม่ได้หมายถึงการขุ่นมัวด้วยความโกรธหรือการลุแก่โทสะเพียงอย่างเดียว

ถ้าพิจารณากันให้ดีแล้วจะเห็นว่า ท่านหมายถึงความขุ่นมัวด้วยความโลภและความหลงด้วย

คือ พร้อมกันทั้ง ๓ ประการ ยายแฟงโลภอยากได้หน้า และหลงไปว่า ในหลวงท่านจะโปรดปราน

จึงได้สร้างวัดขึ้นมา ส่วนจิตใจของยายแฟงนั้น ไม่มีใครรู้ได้ แต่เท่าที่ประมาณพอได้ก็คือ แกเป็นแม่เล้าคุมซ่องนางโลม

ดังนั้นจิตใจแกจึงน่าจะมีส่วนที่ผ่องใสในการกุศลอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับส่วนที่เป็นอกุศลอันขุ่นมัว

ซึ่งซ่อนลึกหลบอยู่ภายในใจของแก คนที่ทำบุญเอาหน้า ได้เงินทองมาโดยไม่บริสุทธิ์นั้น

จึงอยู่ห่างไกลบุญมาก ทำให้ไม่สามารถไปสู้คนที่ทำบุญด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และด้วยสิ่งของที่บริสุทธิ์สะอาดไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตามผู้เรียบเรียงคิดว่า แม้ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย บุญนั้นไม่ว่ามากหรือน้อยเพียงใด

ย่อมมีผลให้อุบัติเกิดเป็นความดีมาค้ำจุนผู้กระทำบุญนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียว จะมากหรือน้อยก็มีแต่ดี

เรื่องของยายแฟงนี้ได้เขียนเล่าเก็บเอาไว้เพื่อเตือนใจผู้ที่อาจจะตีความคิดเอาเองว่า

จะหากำไรด้วยการทำชั่วทำบาปให้มาก แล้วก็จะเอาสิ่งของจำนวนมากที่ได้จากบาปกรรมของตัวนั้นมาสร้างความดี

จะได้มีความดีมากๆ ความคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะความดีที่เกิดนั้นย่อมมีผลน้อย

อย่าคิดว่าทำชั่วไว้มาก ๆ แล้ว ก็จึงค่อยหันกลับมาทำความดี แล้วก็จะทำให้ได้กำไร

เกิดเป็นผลบุญขึ้นอีกมากมายได้ตามที่ใจตนเองคาดเดาเอาไว้เลยเป็นอันขาด เรื่องของคุณท้าวแฟง

ที่สร้างวัดคณิกาผลนี่นั้นนับว่าเป็นอุทาหรณ์ ที่น่าสังวรอยู่ไม่น้อยเลย จริง ๆ ทีเดียว

Rough translation : .....

In the reign of the King Rama IV, there're well-run houses of prostitution in Bangkok operated by a woman name Fang (ยายแฟง ). It's common knowledge that The King Rama IV love to build temple. And she wanted to gain face so she built a temple in Bangkok and then asked the King to name her temple and the King named it "Wat Knikapol" which means the temple built from the profits of prostitution. In the day of celebration of the new temple, Fang invited Somdet Toh ( http://www.accesstoinsight.org/lib/authors...issaro/toh.html ) to come in the hope Somdet Toh will prise her good deeds infront of a lot of ppl and gaining more face but Somdet Toh said " you made merit not because you want to make merit, a merit like this if you makes merit 1 Baht worth, she'll only gain 3/8 of 1 Baht worth of merits in return"

Fang fed up with what she heard but she didn't dare to do a thing to Somdet Toh. Several days later she invited the King Rama V (he's ordained as a monk at that time) to come to her temple in the hope to gain the prise from King Rama V and rebuff what Somdet Toh said at the same time. the King said " the merit that made with clouded mind won't give you the merit that you want to make, the same goes to your temple. Somdet Toh was right you only gain 3/8 of what you did in return, infact in my opinion you only get 6/100 in return"

ps, please forgive my bad English

Didn't stop him talking about "invisible hand" just three days ago.

Mmm... What's invisible hand???

Do you mean..... This one???

Well, if it comes from DMC then I suggest you ignore all those bogus. By the current Sanharaja's (Supreme Patriach) decree their abbot aren't monk anymore (there were four in fact, Sanharaja send one after another but they're all ignore by DMC's abbot) what's more DMC didn't teach Dhamma in the way it should be. They twisted in around for their own gain, for example.... Nervana is atta. and for all those incorrect teaching it eventualy made the Sanharaja discommunicated the DMC from Songha (not doing Pattimokha together and so on so on...)

Now I guess you wonder why DMC still live 'till these day. Well, it's because their tie to the political power like TRT or Mr.T and the gang if you prefer. and with those discommunicated and stuff it makes Mr.T's governer want to reduce the power of the current Supreme Patriach so they made up the story of the current Supreme Patriach's health has worsen and can't do the job anymore and then they made Somdet Kiaw, The acting Supreme Patriarch who has strong tie with him and DMC too. (a little fact : the only person who has the right to appoint those titles to someone are HMS only but Mr.T did it anyway, I might add) politic politic....... and thus DMC lives on....

The only thing DMC's good at is their marketing. anyone who want to learn about MLM should study from DMC, lol.

They use merit as a merchandise and well... it works.... btw did you know they even teach that Thailand has survive the WWII because of them. They said the USA was gonna drop fatman and littleboy on Thailand but because of the power of DMC master and mae chee, they send the bombs away off Thailand and those bomb went from Thailand to Japan because the Jap has so much sin.

There's more but since it's abit off topic so I guess that's enough for DMC.. for now.

about the skin colour, I see nothing in bali canon saying white skin are superior or any of that nonsense. but they said the fair skin, hair face blah blah blah.... you have in the life it is because you made a good merit in your last life. The key word is 'fair skin', you can have fair skin even when your skin are black, yellow, brown, red..... though I know that Thais think white skill is the best. so they might say they has white skill because they made a lot of merit in their last life.

btw sorry about my english, it's not good. I know. and beside I'm not good about those techical term in english so please bear with me

The man has gone way beyond any possibility of deals on too many issues, especially one that can not be discussed here.

Lydia is the Thai singer Thaksin is seen with these days.

Believe it or not, after the publication of the book "Thaksin Where Are You?", Lydia's new show is called "Here I Am". (Enjoy the carreer while it lasts)

Thaksin: Where are you?

and then...

Lydia: Here I am

I guess the next book will be....

Pojman: He's my husband!!!

Ok, I'll try to believe he's saying about his bank accounts in Thailand, but why complain about the state of Swiss banking if he doesn't have any money in Swiss bank? I mean, if they are really talking about Thailand why change the topic to Swiss all of sudden?

The new leader of the P.P.P. party (Porky Pig Party) where there's always more room at the trough.

What!!?? I always thought P.P.P. came from Pojman and Poa Party

Here, the greatest archivement of the new PPP leader ever did http://www.2519.net/newweb/gallery_new/show_main.php

It's funny because there's a lot of ex-commy whose there friend got killed in that 6 Oct. in PPP but they welcome Samak to be there leader with open arm.

it's disgusting......

money talks, I guess

10000 protesters.....

and...

The picture taken on the same day but different angle....

So... 10000 protesters.... err....riiight....

Those pics are a little bit old but it serve its purpose, no?

Of course, they will want to say there are 1,0000 ppl in there because more ppl = more money they can get from Tukky

taken from... http://forum.serithai.net/index.php?topic=14355.0

if you can speak Thai, this 2 clips are really interesting!!!

mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/inthenews1_290806.wmv

mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/inthenews2_290806.wmv

And the Academy Award goes to....... *drum roll*

You are right. it shouldn't become any news at all. but it happened like this some of our Thai fellow was stumble upon one site.. http://astoriaviii.com/index.shtml.

and he saw this http://astoriaviii.com/SNK-Nike%20AF1_The%20Kingdom%20of%20[DTL2].shtml

as you can see there's a price of the shoes at the left side of the page (AUD$310.00).

which mean anyone can buy this shoes. We send an email to the maker and this's his reply

Woody. Thanks for your email and your kind words regarding our work. The

sneaker is a one off design that was actually created for a Thai person and

no longer in production. It was he who gave us the suggestion to use the

Thai Garuda and we also asked him beforehand that this would not be

offensive to the people of Thailand. He assured us that it would not be. I

recently visited Thailand and am somewhat familiar with your culture,

specifically the strict prohibition of any sign of disrespect towards your

King.

Again, it is not our intention to show any disrespect to the people of

Thailand as we have simply created an artwork that was requested of us by

one of your countrymen. As I mentioned above, it is a one off piece and no

longer in production but thankyou again for taking the time to let us know.

Astoria VIII

(Credit to http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/top.../A4353287.html)

So yes, if they made this shoes for just one man. it's not a big deal at all. If what they said was true, that is. and that's why it's become a news in Thailand

and they said they will take image out asap.. and look, it's still there, lol

well, first I need to tell you about the meaning of those colour in Thai's Flag.

Red means people of Thailand

White means Religion, Bhuddist

Blue means Our King

And if you live in Thailand long enough you should know by now how we Thais feel about our king.

Thus it's the reason we don't put the flag on pants, shoes.....

To make thing worse, they put Garuda on the shoes. Garuda is a National symbol in Thailand. A symbol of Chakri Dynasty. so...

on a footnote, the one that's on the shoes called ครุฑหยุดนาค, Krut(garuda) stopping the Serpent.

it's used as a symbol (or should i called signature?) of the King Rama IV himself.